ประวัติ ศาลเจ้าพ่อกวนอู

ศาลเจ้าพ่อกวนอูแห่งนี้ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงบริเวณชุมชนชาวตลาดสมเด็จเจ้าพระยา ถ้าจะนับอายุก็กว่า 281 ปี ในปี พ.ศ. 2560 นี้ โดยเริ่มแรกสมัยเมื่อกว่า 200 ปีก่อนนั้นสถานที่ตั้งศาลเจ้าพ่อแห่งนี้ เป็นแหล่งที่เรือสำเภาจีนแทบทุกลำต้องมาจอดเทียบท่า ที่ตรงนี้จึงเป็นจุดกำเนิดของศาลเจ้าพ่อกวนอู

ที่สำคัญ ในศาลนี้ได้ประดิษฐานองค์ เทพเจ้ากวนอูด้วยกัน 3 องค์ โดยมีขนาดแตกต่างกันไปคือ องค์เล็ก องค์กลาง และองค์ใหญ่ ในช่วงแรกมีชาวจีนฮกเกี้ยนท่านหนึ่งได้อัญเชิญรูปปั้นเทพเจ้ากวนอูองค์เล็กสุดเข้ามาประทับในเก๋งจีนนี้ เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้มากราบไหว้บูชาขอพร จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างศาลเจ้าพ่อกวนอูเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2279

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ขององค์เทพเจ้ากวนอู ที่ทำให้ประชาชนคนไทยจีนได้ประจักษ์ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2509 โดยเกิดปรากฏการณ์แปลกๆ ขึ้นที่หิ้งบูชา ถ้วยน้ำชา และกระถางธูป เกิดสั่นสะเทือนขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุเป็นเวลา 3 เดือนจนเป็นที่กล่าวขานและมีการลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ดังไปทั่ว ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานสงสัยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเกรงว่าอาจจะเป็นการเล่นจำอวดหลอกลวงชาวบ้านหรือไม่ จึงเดินทางมาตรวจพิสูจน์ปรากฏว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นการหลอกลวงแต่อย่างใด ขณะเดียวกันยังสรุปว่าเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง

ทำไม เทพเจ้ากวนอูถึงหน้าแดง

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นสมัยที่ท่านยังเป็นมนุษย์ธรรมดา ท่านเกิดมาในตระกูลยากจน ท่านยึดอาชีพเป็นช่างตีเหล็ก เพราะสรีระของท่านเป็นคนที่มีรูปร่างกำยำแข็งแรง (สูงใหญ่ 9 ฟุตจีน หรือประมาณ 6 ศอก) ในแต่ละวันรอบๆ ตัวท่านจะเห็นเศรษฐีคนรวยทั้งหลายรังแกคนจนอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ท่านรู้สึกโกรธ และโมโห เพราะท่านอยากจะช่วยแต่ไม่สามารถที่จะช่วยเหลืออะไรได้

จนมาถึงวันหนึ่ง ท่านเกิดอารมณ์โกรธสุดขีด ตกกลางดึกท่านจึงเข้าไปลอบฆ่าเศรษฐีคนหนึ่งตาย ทำให้ท่านต้องถูกเจ้าหน้าที่ล้อมจับ และหนีการจับกุมไปจนถึงริมแม่น้ำสายหนึ่ง ท่านได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง จากคำบอกเล่าเชื่อกันว่า ผู้หญิงคนดังกล่าวเป็นเทวดาปลอมตัวลงมาช่วย และได้แนะนำให้ท่านเปลี่ยนชื่อแซ่ จากเดิมท่านชื่อว่า เผิงเสียนชื่อรอง โซ่วฉางหรือ หยุนฉาง” (แปลว่า เมฆยาวในสำเนียงแต้จิ๋วออกเสียงว่า หุนเตี๋ยง”) มาเป็นชื่อ กวนอูและยังแนะนำว่าในช่วงที่หนีถ้าเห็นประตูกำแพงเมืองเมื่อใด ท่านจะต้องโกนหนวดโกนเคราออก และให้ชกหน้าตัวเอง ปรากฏว่าเมื่อชกหน้าตัวเองแล้วเลือดกำเดาไหล ท่านเอามือบังหน้าตัวเอง จึงรู้ว่าเลือดไหลเต็มฝ่ามือ ท่านตกใจมากรีบล้างออก แต่ล้างอย่างใดก็ล้างไม่ออกเสียที จึงทำให้ใบหน้าของท่านเป็นสีแดงตั้งแต่นั้นมา และก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ท่านสามารถหนีรอดการจับกุมมาได้

เหตุนี้ จึงเป็นที่มาของ เทพเจ้ากวนอูหน้าแดงและมีประวัติเล่าขานกันมานานนับพันปีว่าเทพเจ้าองค์นี้เป็น เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์และยุติธรรมของชนชาวจีน และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีประชาชนเป็นจำนวนมากนิยมกราบสักการบูชา และขอพรจากท่านเทพเจ้ากวนอู่อยู่เป็นประจำ